จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

1,708

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

รองสารวัตร จ.ตรัง ปลูกเสาวรสขาย สร้างรายได้เหยียบแสนต่อเดือน

รองสารวัตร จ.ตรัง ปลูกเสาวรสขาย สร้างรายได้เหยียบแสนต่อเดือน




รองสารวัตร จ.ตรัง ปลูกเสาวรสขาย สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 67,000 บาทต่อเดือน เล็งเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชิมและเก็บเสาวรสสดจากสวน

    ที่ไร่ลุงแกรก ซึ่งเป็นสวนเสาวรสของ ร.ต.อ จำรูญ ทองขำดี รองสารวัตรสืบสวนตำรวจภูธร จ.ตรัง กำลังเริ่มเก็บเกี่ยวเสาวรสทั้งพันธุ์สีม่วงและสีเหลือง ส่งขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 40-50 บาท หรือวันละไม่ต่ำกว่า 40-60 กิโลกรัม สร้างรายได้กว่า 2,200 บาทต่อวัน ซึ่ง ร.ต.อ.จำรูญหรือลุงแกรก ใช้พื้นที่หมู่ที่ 3 ต.นาพละ อ.เมืองตรังจำนวน 2 ไร่ครึ่ง ปลูกเสาวรสรวม 220 ต้น
โดยลงเสาวรสรุ่นแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วจำนวน 110 ต้นและรุ่นที่ 2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์อีกจำนวน 110 ต้นเท่ากัน ซึ่งรุ่นแรกให้ผลผลิตเมื่อครบ 7-8 เดือนวันละประมาณ 40 กิโลกรัม ส่วนรุ่นที่ 2 ก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้วันละ 10 กิโลกรัม และสามารถเก็บขายได้ทุกวัน ทำให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละ 15,000 บาทหรือกว่า 67,000 บาทต่อเดือน

ซึ่งแรงจูงใจที่ทำให้ลุงหันมาปลูกเสาวรสก็เพราะต้องการให้ผู้บริโภคหันมาดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานผลไม้ที่ปลอดภัยจากสารเคมี และมีประโยชน์ต่อร่างกาย อีกทั้งยังได้ออกกำลังกายและเดินตามศาสตร์ของพระราชา ด้วยการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้กาวดักแมลงตามธรรมชาติและทำปุ๋ยหมักจากเศษผักและเปลือกเสาวรสใช้เอง ทั้งนี้มียอดสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่พอขาย
นอกจากนี้ลุงยังใช้ที่ดินทุกตารางนิ้ว ปลูกทุกอย่างที่กินและกินทุกอย่างที่ปลูกอีกกว่า 30 ชนิด เช่น ไผ่กิมซุง มะม่วงหิมพานต์ ผักหวาน มะนาว มะพร้าว มะละกอ และเลี้ยงปลาในลำห้วย ซึ่งในอนาคตจะใช้เป็นสถานที่ศึกษาเรียนรู้สำหรับเกษตรกรที่สนใจ และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามากินและเก็บเสาวรสสดจากสวน โดยพร้อมแบ่งปันความรู้ในการปลูกเสาวรสอย่างง่ายให้กับเกษตรกรเพื่อนำไปเป็นรายได้เสริมโดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 086-9416910
ด้าน
ร.ต.อ.จำรูญ ทองขำดี รองสารวัตรสืบสวนตำรวจภูธร จ.ตรัง กล่าวว่า พื้นที่ 2 ไร่ครึ่งปลูก 8 เดือนเก็บขายได้กิโลกรัมละ 40-50 บาท เหตุผลคืออยากดูแลสุขภาพและศรัทธาในแนวเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ตนมีความสุข ได้สุขภาพได้ออกกำลังกายและปลอดภัยจากสารเคมี

ขอบคุณที่มาจาก : https://news.mthai.com/economy-news/661824.html

ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท

ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท


ลองกันยัง?! เลี้ยงมดแดง แบบคอนโด 10-15 วันสร้างรายได้ หลายหมื่นบาท
วิดีโอแสดงการเลี้ยงมดแดงในขวดพลาสติก หรือคอนโดมดแดงนั้นเอง..
 

ถ้าพูดถึงไข่มดแดงล่ะก้อ ถือเป็นสุดยอดของอาหารพื้นบ้านเลยทีเดียว ด้วยรสชาติที่เฉพาะตัว นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ให้รสชาติที่หวานมัน ทำให้ไข่มดแดงมีราคาสูงถึง 300-500 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว การที่จะได้ไข่มดแดงมากินนั้นต้องไปเสาะหาแหย่ตามรังตามต้นไม้สูงทำให้เป็นอาหารที่หายาก แต่ปัจจุบันนี้ไม่ต้องไปลำบากลำบนแล้วครับ มีนวัตกรรมใหม่ นั้นก็คือการทำบ้านให้มดแดงด้วยขวดพลาสติก ทำให้ง่ายต่อการเก็บไข่มดแดง นั้นก็คือการเลี้ยงไข่มดแดงแบบคอนโด...

 
 

การทำคอนโดไข่มดแดงนั้นง่ายนิดเดียว แค่นำขวดน้ำอัดลมมาตัดคอขวดแล้วกลับด้าน นำไปประกบกับส่วนก้นขวด แล้วหาอะไรยึดให้สองส่วนนี้ติดกัน โดยในขวดนี้ต้องใส่อาหารของมดแดง เช่น แมลง หรืออาจจะใส่ พวกปลา หรือเนื้อก็ได้ เพื่อล่อให้มดแดงเข้ามาอยู่ จากนั้นนำขวดอีกใบ ใส่น้ำผสมน้ำหวานหรือน้ำตาล ปาดขวดเป็นช่องให้มดแดงเข้าไปกินน้ำได้ จากนั้นนำขวดทั้งสองไปแขวนไว้ใต้ต้นไม้ที่มีมดแดงอาศัยอยู่ ให้สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร เมื่อมดแดงได้กลิ่นอาหารและกลิ่นน้ำหวานก็จะพากันอพยพมาอยู่ในขวด ทำให้ง่ายต่อการเก็บไข่มดแดง โดยคอนดดไข่มดแดงแต่ละขวดสามารถให้ผลผลิตไข่มดแดงได้ 2-3 ขีดเลยทีเดียว....
 
 เมื่อมดแดงได้กลิ่นอาหารและน้ำหวานที่เราแขวนไว้ก็จะพากันอพยพเข้าไปอยู่ในขวด....


คอนโดมดแดงที่เราแขวนไว้สามารถให้ผลผลิตไข่มดแดงสูงถึง 3-4 ขีดเลยทีเดียว...


ไข่มดแดงขาวๆอวบๆเม็ดเป้งๆ เหมาะสำหรับนำไปประกอบอาหาร


ก้อยไข่มดแดงเมนูยอดฮิตแสนอร่อย


แกงผักหวานใส่ไข่มดแดงรสกลมกล่อมน่าทานที่สุด...


ทอดไข่ใส่ไข่มดแดง อีกเมนูที่แนะนำ หอมหวานมัน อร่อย...


Cr: http://farmfriend.blogspot.com/

กัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเท่ากับ นาข้าว 10 ไร่ ต้นสดกิโลละ 20,000 สกัดเป็นสาร กิโลละล้าน

กัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเท่ากับ นาข้าว 10 ไร่ ต้นสดกิโลละ 20,000 สกัดเป็นสาร กิโลละล้าน



“หมอพื้นบ้าน” ยันกัญชาเสพแค่ไหนก็ไม่ติด แนะรัฐนำร่องปลูกในบางจังหวัด ทดแทนพืชไร่ราคาตกต่ำ

เผย กัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเท่ากับ นาข้าว 10 ไร่ ต้นสดกิโลละ 20,000 สกัดเป็นสาร กิโลละล้าน 


แม้จะยังไม่ลงตัวเกี่ยวกับมาตรการปลดล็อคกัญชาจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เป็นประเภท 2 เพื่อให้สามารถไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์
นอกจากนี้ยังมีกระแสถกเถียงเรื่องข้อกังวลว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเสพกัญชามากขึ้นหรือไม่ ถึงกับมีการตั้งข้อสังเกตว่า “กัญชา พืชร้ายหรือสมุนไพรทางเลือก”  โดยมองว่า อาจจะเป็นโทษมากกว่า
โดยหมอประเดิม ส่างเสน เลขานุการหมอชนเผ่า 7 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานวิจัยของหมอพื้นบ้านภาคเหนือ และคณะทำงานหมอพื้นบ้านชนเผ่าลุ่มน้ำโขง และเป็นทายาทหมอชนเผ่ารุ่น 12
ซึ่งรักษาโรคตามคัมภีร์โบราณมากว่า 1,000 ปี ขอยืนยันว่า กัญชาไม่ใช่ยาเสพติด เสพนานแค่ไหนก็ไม่ติด พวกที่เสพแล้วเกิดอาการทางจิตประสาทนั้นเป็นเพราะ ไปพลิกแพลงเสพผิดประเภท
โดยทำในรูปโรยสังขยา ซึ่งหมายถึงมีการผสม ผงขาว เฮโรอีน ฝิ่น จนเกิดเป็นโทษ ทั้งที่ความจริงโดยเนื้อแท้ของกัญชาแล้ว หมอพื้นบ้านรู้ดีว่า ไม่มีทางติดแน่นอน
หมอประเดิม  กล่าวด้วยว่า กัญชา มีสรรพคุณรักษาโรคได้กว่า 50 โรค 100 กว่าอาการ รวมถึงช่วยชะลอวัยได้ด้วย
เนื่องจากในกัญชามีสาร 2 ชนิดหลัก ที่ทำหน้าที่ร่วมกัน คือ สาร Cannabidiol ซึ่งเป็นสารที่มี่อยู่ในตัวมนุษย์  ทำหน้าที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ลดการอักเสบบวมโตของแผลหรือเนื้องอก ระงับเซลล์มะเร็งที่กำลังเติบโต ระงับการเกร็งหรือชักกระตุก
และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันในระบบประสาทได้ และสาร Tetrahydrocannabinol ทำให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม อีกทั้งยังเป็นตัวที่ทำให้ระบบประสาทสัมผัสทำงานดีขึ้น ช่วยกระตุ้นให้อยากอาหาร
“คนทั่วไปมักคิดว่า วิธีใช้คือการสูบเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว วิธีหยอดใต้ลิ้นด้วยสารสกัดจะได้รับทั้งสารทั้งสองชนิด สูงกว่า
ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยโรคทางสมองเพราะกัญชาจะไปเปิดระบบประสาท ทำให้ตัวกัญชาซึมเข้าสู่ระบบประสาทได้เร็วกว่าการกิน เช่น ผู้ป่วยสันนิบาต พาร์กินสัน ลมชัก” หมอประเดิม กล่าว
หมอประเดิม กล่าวอีกว่า  สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังก็สามารถใช้ทา ส่วนรายที่รักษาริดสีดวง มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งปากมดลูก เขาก็แนะนำให้ใช้วิธีเหน็บทางทวารหรือช่องคลอด อย่างไรก็ตามผุ้เข้ารับการรักษาต้องได้รับการดูแล และต้องใช้กัญชาในปริมาณตามที่หมอกำหนดและสามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันโดยสามารถดูดซึมได้มากกว่าเดิมด้วย
“พวกเราสนับสนุนการออกกฎควบคุม แต่ต้องไม่ปิดกั้นหมอพื้นบ้านในการใช้เพื่อการรักษา เพราะกัญชาสามารถทำให้การดูดซึมยา ทั้่งแผนโบราณและปัจจุบัน ให้ไปรักษาได้ตรงคน ตรงโรค มีงานวิจัยมากมายที่มีผลการรักษายืนยัน และหลักฐานเชิงประจักษ์” หมอประเดิม กล่าว
เลขานุการหมอชนเผ่า กล่าวด้วยว่า อยากเสนอรัฐบาลให้กำหนดพื้นที่ปลูกกัญชานำร่อง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้เครือข่ายหมอพื้นบ้านได้ประชุมร่วมกันโดยมีผู้แทนจากจังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน สุโขทัย ลำพูน ลำปาง รวมถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้แก่ มหาสารคาม และภาคตะวันออกคือ ชลบุรี
โดยจะนำเสนอรัฐบาลเร็ว ๆ นี้ ส่วนที่มีข่าวกรมทรัพย์สินเปิดให้มีการจดสิทธิบัตรกับต่างประเทศนั้น ทางหมอพื้นบ้านติดตามข่าวตลอด และเตรียมพร้อมที่จะไปจดบ้าง
อยากให้เปิดเผยและให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกัน และเชื่อว่า กัญชาจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำเงินให้กับประเทศไทย และจะสามารถยืดอายุคนไทยให้ยาวนานขึ้นด้วย
“ปัจจุบันเกษตรกรพืชผลทางการเกษตรราคาตกต่ำ หากมีการเปลี่ยนแผนการเพาะปลูกในบางพื้นที่ที่มีดินที่เหมาะสมมาเป็นกัญชาก็จะสามารถเพิ่มผลผลิตได้ เพราะกัญชา 2 ไร่ ผลผลิตเทียบได้กับปลูกข้าว 10 ไร่
กัญชาในตลาดมืดเวลาต้นสด กิโลกรัมละ 25,000 บาท และหากสกัดเป็นสาร ก็สามารถจำหน่ายและส่งออกได้ถึงกิโลกรัมละ 1 ล้านบาท”
หมอประเดิม กล่าวพร้อมระบุว่า ปัจจุบันแม้จะมีกฎหมายควบคุมแต่ก็มีหมอพื้นบ้านบางส่วนปลูกกัญชาเพื่อการรักษา ซึ่งจากที่ได้ประชุมกับอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย ท่านก็แสดงความเป็นห่วง โดยบอกว่า อยากให้ทำให้ถูกต้อง โดยขอให้ทำเป็นขั้นเป็นตอน และนำสิ่งที่ทำกันใต้ดินมาอยู่บนดินให้หมด
ที่มา naewna.com/http://phumpunya.com

“ผิดกฎหมาย” โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท

“ผิดกฎหมาย” โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท

985

















วันที่ 24 พ.ย. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีนักเรียนชายชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.ทะเมนชัย อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ขี่รถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวชนกองข้าวเปลือก ที่เกษตรกรตากไว้บนถนนทางหลวงหมายเลข 3047 สายบ้านหนองม่วงน้อย–หนองไทร ต.ทะเมนชัย อ.ลำปลายมาศ เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 ราย ซึ่งขณะนี้ ผู้บาดเจ็บยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
ซึ่งจากการลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบเป็นถนน 2 ช่องจราจร ไม่ได้เป็นทางโค้ง แต่ไม่พบเกษตรกรนำข้าวเปลือกมาตากบนถนนสายดังกล่าวแล้ว มีเพียงร่องรอยบริเวณจุดเกิดเหตุเท่านั้น จากการสอบถามชาวบ้านใกล้เคียงให้ข้อมูลว่า วันเกิดเกตุได้มีเกษตรกรนำข้าวเปลือกไปตากบนถนนสายดังกล่าว เพื่อลดความชื้นหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จเป็นปกติเหมือนทุกปี
เนื่องจากในหมู่บ้านมีลานที่ใช้สำหรับตากข้าวเพียงจุดเดียว คือ ลานคอนกรีตศาลากลางหมู่บ้าน แต่เกษตรกรส่วนมากจะเก็บเกี่ยวผลผลิตพร้อมกัน ทำให้สถานที่ตากไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องนำไปตากตามถนนลาดยางในหมู่บ้าน ตำบล ซึ่งก็ใช้เวลาตากเพียง 2-3 วัน แต่ช่วงเย็นวันเกิดเหตุ มีฝนตกหนักทำให้สภาพถนนลื่น ทั้งอาจเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ด้วย จึงทำให้รถจักรยานยนต์เสียหลักล้ม จนทำให้มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บดังกล่าว
ชาวบ้านหนองม่วงน้อย บอกตรงกันว่า สาเหตุที่เกษตรกรต้องนำข้าวเปลือกมาตากบนถนนลาดยาง เนื่องจากสถานที่ตากในหมู่บ้านไม่เพียงพอ เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตพร้อมๆ กัน และการตากบนถนนทำให้ข้าวเปลือกแห้งเร็วใช้เวลาเพียง 2–3 วัน ก็เก็บเข้ายุ้งฉาง หรือนำไปขายให้กับโรงสีได้แล้ว แต่หากตากตามพื้นหญ้าจะทำให้ข้าวเปียกชื้นแห้งช้า อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หากถามว่าเกษตรกรรู้หรือไม่ว่าการนำข้าวเปลือกมาตากบนถนนผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่ารู้แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะหากไม่รีบตากให้แห้งแล้วมีฝนตกใส่ข้าวเปียก ก็จะทำให้เมล็ดข้าวมีความชื้นสูง เสื่อมคุณภาพ และหักเสียหายทำให้ขายไม่ได้ราคา
จึงอยากจะฝากให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการทำลานตากเป็นพื้นปูนให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อจะได้ลดปัญหาสถานที่ตาก เพราะเกษตรกรเองก็ไม่ได้อยากมาตากบนถนนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจบนถนนตามหมู่บ้าน ตำบล ในหลายอำเภอ ยังคงมีเกษตรกรนำข้าวเปลือกออกมาตากตามถนนลาดยาง โดยจะตาก 1 ช่องจราจรแล้วมีการนำอุปกรณ์ หรือกรวยยางมาวางเป็นสัญลักษณ์ไว้ เพื่อให้ผู้สัญจรเห็น โดยเกษตรกรก็ให้เหตุผลเหมือนกันว่า ไม่มีสถานที่ตากจึงจำเป็นต้องมาตากบนถนน พอตกเย็นก็จะเก็บกองรวมไว้ไหล่ทางแล้วใช้ผ้าคลุมปิดไว้ จึงอยากให้เห็นใจชาวนาด้วย
นายวิทย์ วรวงศ์ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงชนบทบุรีรัมย์ ก็ได้ออกมาแจ้งเตือนเกษตรกรว่า ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ทางหลวง มาตรา 38 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดติดตั้ง แขวน วาง หรือกองสิ่งใดในเขตทางหลวงในลักษณะที่เป็นการกีดขวางหรืออาจเป็นอันตรายแก่ยานพาหนะ หรือในลักษณะที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางหลวงหรือความไม่สะดวกแก่งานทาง เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ซึ่งหากฝ่าฝืนก็จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ที่มา www.sanook.com /https://me-panya.com/

แฉ ! ร่าง พ.ร.บ.อุทยานฯ บังคับใช้ “เก็บหาของป่า” โทษจำคุก 5 ปี ปรับ 5 แสนบาท



มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เผยข้อมูล ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ฉบับผ่าน สนช. บังคับใช้หาของป่า เก็บเห็ด เก็บหน่อไม้ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
วันนี้ (28 ม.ค. 2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฉบับผ่าน สนช. เปิดเผยว่า “เก็บเห็ด เก็บหน่อ เก็บบุก เก็บผึ้ง ก็ทำไม่ได้แล้วนะ หากร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฉบับผ่าน สนช. นี้ กลายเป็น พ.ร.บ. ที่มีผลบังคับใช้จริง เพราะ “ของป่า” ไม่ได้ถูกให้คำนิยามและบรรจุไว้ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะไม่มีการอนุญาตให้เก็บหาของป่าในอุทยานแห่งชาติ หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อนึ่ง “ของป่า” ถูกนิยามและระบุไว้ในร่าง พ.ร.บ.ภาคประชาชน ซึ่งหมายถึง สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรืออยู่ตามธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ เป็นต้นว่า ถ่าน เปลือกไม้ ใบไม้ ดอกไม้ เมล็ด ผลไม้ หน่อไม้ ชันไม้ น้ำมันจากไม้ ยางไม้ หญ้า อ้อ พง แขม ปรือ คา กก กระจูด กล้วยไม้ กูด เห็ดรา เฟิร์น ตะไคร่ สาหร่าย พันธุ์ไม้น้ำ ส่วนของพืชสมุนไพร รังนก ครั่ง รังผึ้ง น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง ไข มูลสัตว์ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ ปิโตรเลียม”
จากนั้นระบุอีกว่า “ชุมชนที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่หมู่บ้านหรือตำบล หรือกลุ่มบุคคลซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันและมีวัฒนาธรรม จารีต ประเพณีร่วมกัน” นี่คือนิยามของคำว่า “ชุมชน” ในร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติฉบับประชาชนที่ร่วมกันยื่นเสนอเป็นร่างคู่ขนาน แต่ในร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่กำลังอยู่ในชั้นกรรมาธิการขณะนี้กลับไม่มีการนิยามคำว่า “ชุมชน” ไว้เลย แต่มีการกำหนดมาตรการและแนวทางการดำเนินการ ตลอดจนมาตรการแก้ไขปัญหาประชาชนที่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติในมาตรา 63
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดคำถามว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ตอบสนองเจตนารมณ์ที่ว่า ชุมชนมีส่วนร่วมในการประกาศจัดตั้ง และการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ตลอดจนเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่อยู่อาศัยหรือทำกินอยู่แล้วในอุทยานแห่งชาติ จริงหรือไม่? หรือ “สิทธิชุมชน” ตามรัฐธรรมนูญจะถูกเพิกเฉยจากรัฐบาลและหน่วยงานรัฐต่อไป?”
ล่าสุด เวลา 10.30 น. สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ เขตงานน่าน จำนวน 20 ราย ร่วมยื่นหนังสือให้ สนช. ชะลอการพิจาณา ร่าง พรบ.อุทยานแห่งชาติ ถึงประธาน สนช. ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน โดยมอบให้ นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายนิทรรศ เวศวินิจ ผอ.ทสจ.น่าน เป็นผู้รับหนังสือ ณ ศูนย์ราชการจังหวัดน่าน
สำหรับการยื่นหนังสือนี้ มีข้อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติออกไปก่อน และควรเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปรับแก้เนื้อหาให้สามารถแก้ไขปัญหาที่ดินป่าไม้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ